บันทึกการเรียนครั้งที 2
วันจันทร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 08:30 - 11:30 น.
เนื้อหาที่ได้รับ
นำเสนองาน 4 กลุ่ม
1. 1. พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
แบ่งพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ตั้งแต่ 3ปี 4 ปี 5 ปี 1. ด้านร่างกาย 2.ด้านอารมณ์และจิตใจ 3.ด้านสังคม
4.ด้านสติปัญญา
แตกต่างจาก 2546 คือ สภาพพึงประสงค์ต้องมีการประเมิน
ดูวิธีการประเมินตามสภาพจริงที่ทำจากแฟ้มสะสมผลงาน ไตร่ตรองสารนิทัศ
ไตร่ตรองตอนทำโครงการ
2.ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
ความต้องการ ความสนใจและการเล่นของเด็กปฐมวัย
ความต้องการ ความสนใจและการเล่นของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์
การสร้างรากฐานที่ดีทั้งทางร่างกาย
และจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรก
เกิด ถึง6
ปีเป็นระยะที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก
ด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่น ๆ
ความต้องการ
ความต้องการเป็นสิ่งจาเป็นสำหรับการดำรงชีวิต
ความต้องการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดความสมดุล
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทาให้ร่างกายเกิดความเครียด ไม่เป็นสุข
ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการกระทาเกิดขึ้น
เพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะสมดุลตามปกติ
ชนิดของความต้องการ
1.ความต้องการของแต่ละคน (Individual
Needs )
1.1 ความต้องการทางอินทรีย์
1.2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
1.2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
1.ความต้องการที่จะรักคนอื่นและให้คนอื่นรักตน
2.ความต้องการความปลอดภัย
3.ความต้องการการมีส่วนร่วม
หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
4.
ความต้องการความสัมฤทธิ์ผลหรือต้องการให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน
5.
ความต้องการรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสติปัญญา
6.
ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากสภาพที่อยู่ปกติให้เป็นสภาพใหม่
7.
ความต้องการที่จะรับความพึงพอใจในทางสวยงาม
ความต้องการทางสังคม
(Social Need)
ได้แก่
ความต้องการความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ การนับหน้าถือตา ความนิยมชมชื่น
ความเป็นมิตรภาพต่อกัน และความต้องการในสมบูรณาการ (Integration)
ซึ่งเป็นความต้องการ ที่เป็นค
วามสุขของชีวิตตามอุดมคติ
การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้ หมายถึง
การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจาก
ประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
หรือจากการฝึกหัด
รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน
มีองค์ประกอบ
3 อย่าง คือ 1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น
“รู้” “ทำไม่ได้”
เป็น “ทำได้” “ไม่เคยทำ” เป็น “ทำ” 2)
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร 3) การ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น
เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆนอกจาก
นั้น
เด็กปฐมวัย
(Early
Childhood) เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กที่มีอายุตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึง
6 ปี ซึ่งอยู่ในวัยที่คุณภาพของชีวิทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญากำลังเริ่มต้นพัฒนาอย่างเต็มที่
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์
เพียเจท์ กล่าวถึง
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา
เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา
ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา
และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น
4 ขั้น
1.ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2.ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
3.ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้
กล่าวว่า
เด็กจะเกิดการเรียนรู้
พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น
หากเด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง
แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน
เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์
เชื่อว่า
ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้
โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน
กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน
หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก
จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน
1.
ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2.
ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
แนวการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1.
จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ
2.
จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
3.
จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ
4.
จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทำ และนำเสนอความคิด
5.
จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่
6.
จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก
7.
จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันและสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม
8.
จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ให้มีมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์
หรือศูนย์การเรียนต่าง ๆ ให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับผู้อื่น
นวัตกรรมแบบโครงการ
การเรียนการสอนแบบ
โครงการได้นาแนวคิดของ
มาประยุกต์เป็นรูปแบบ
การเรียนการสอน
1.เรียนการสอนแบบโครงการเป็น
การเรียนเพื่อสนองความต้องการของเด็ก
2.ไม่มีการแข่งขัน แต่เป็นการเรียนแบบร่วมมือ
3.เป็นนวัตกรรมทางการสอนที่บูรณาการ
การสอนหลายๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกัน
หลักการสาคัญของรูปแบบการสอนแบบโครงการ
1.เด็กศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกลงในรายละเอียดของเรื่องนั้นๆจนพบคาตอบที่ต้องการ
2.เรื่องที่เด็กศึกษาเป็นเรื่องที่เด็กเป็นผู้เลือกเองตามความสนใจเป็นประเด็นที่เด็กตั้งคาถามขึ้นมาเอง
3.ระยะเวลาแต่ละโครงการยาวนานอย่างเพียงพอตามความสนใจของเด็กเพื่อที่จะให้เด็กค้นพบคาตอบและคลี่คลายความสงสัยใคร่รู้
4.จัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่เด็กศึกษาโดยเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกตอย่างใกล้ชิดจากแหล่งความรู้เบื้องต้น
5.เด็กเสนอความรู้ต่อเพื่อนๆ และคนอื่นๆแสดงให้เห็นถึงความสาเร็จของกระบวนการศึกษาของตนเอง
และเกิดความภาคภูมิใจในความสาเร็จนั้น
6.เมื่อเด็กค้นพบคาตอบเปิดโอกาสให้เด็กนาความรู้ใหม่ๆที่ได้นั้นมาเสนอในรูปแบบต่างๆตามความต้องการของเด็กปฐม
7.จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบกับทั้งความสาเร็จ
และความล้มเลวในกระบวนการการแสวงหาความ
รู้ตามวิธีการของเด็กเองการของเด็กเอง
ระยะที่ 1เริ่มต้นโครงการ
เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร โดยครูเป็นผู้ให้คาแนะนา
• เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไร เกี่ยวกับเรื่องที่เลือกแล้วบ้าง ครูช่วยให้เด็กๆบันทึก
ความคิดของเด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น วาด ปั้น จาลอง ฯลฯ (เล่าประสบการณ์เดิม)
• เด็กๆบอกข้อสงสัยที่เด็กๆมีเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆจะเรียนรู้ และครูช่วยบันทึกคาถามเหล่านั้น
• เด็กๆพูดคุยเกี่ยวกับว่าคาตอบที่เด็กๆจะสารวจสืบค้นได้นั้น น่าจะเป็นอะไร อย่างไร ครูช่วย
เด็กๆบันทึกความคาดคะเนของเด็กๆไว้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลในภายหลัง (คิดกิจกรรม)
ระยะที่ 2ระยะพัฒนา
ให้โอกาสเด็กค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่เป็นงานในภาคสนาม
ประกอบด้วยการสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ระยะนี้ถือเป็นหัวใจของโครงการ
โดยครูจะเป็นผู้จัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้นไม่ว่าจะเป็นหนังสือ
วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ แม้แต่การออกภาคสนามหรือไปศึกษานอกสถานที่
หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่น เพื่อให้เด็กได้ทาการสืบค้น สังเกตอย่างใกล้ชิด
และบันทึกสิ่งที่พบเห็น เขียนภาพที่เกิดจากการสังเกต จัดทากราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม หรือสร้าง
แบบต่างๆ สารวจ คาดคะเน มีการอภิปรายเล่นบทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้
ระยะที่ 3สรุปโครงการ
เป็นการประเมิน การสะท้อนกลับ และแลกเปลี่ยนงานโครงการเป็นระยะสรุปเหตุการณ์
รวมถึงการเตรียมเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัดแสดงการค้นพบ
และจัดทาสิ่งต่างๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติ หรือจัดนาชมสิ่งที่ได้จากการก่อสร้าง
ครูควรจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กับผู้อื่น เด็กสามารถช่วยกันเล่าเรื่อง
การทาโครงการให้ผู้อื่นฟังโดยจัดแสดงสิ่งที่เป็นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น
ครู พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และผู้บริหารได้เห็น ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนามาแสดง
ซึ่งการทาเช่นนี้เท่ากับช่วยให้เด็กทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด
ครูอาจเสนอให้เด็กใช้จินตนาการ ความรู้ใหม่ที่ได้ผ่านทางศิลปะ หรือทางละครก็ได้
การนำไปใช้ คือ การนำแนวทางไปปรับใช้ในการเรียนการสอน และการวางแผนการสอนของเด็กให้ตรงตามพัฒนาการหรือความต้องการของเด็กให้ได้อย่างถูกวิธีและตรงตามพัฒนาการที่สามารถทำได้
ประเมิน
ประเมินตนเอง : รู้ว่าไม่เก่งแต่ก็พยายามทำความเข้าใจและจดบันทึกในสิ่งที่จำเป็น และตั้งจเรียน ตั้งใจฟังให้ทัน เพื่อที่จะได้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น
ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจฟังและจดบันทึก และเตรียมการนำเสนอมาดีพอสมควร
ประเมินอาจารย์ : อธิบายเนื้อหาเข้าใจให้มากขึ้น และยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น