Welcome to blogger of Wiliawan Suktwee

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที 2
วันจันทร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561
เวลา 08:30 - 11:30 น.



เนื้อหาที่ได้รับ
นำเสนองาน 4 กลุ่ม
1.      1. พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย

แบ่งพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ตั้งแต่ 3ปี  4 ปี 5 ปี     1. ด้านร่างกาย     2.ด้านอารมณ์และจิตใจ  3.ด้านสังคม  4.ด้านสติปัญญา  


                                                                  

  
 แตกต่างจาก 2546 คือ สภาพพึงประสงค์ต้องมีการประเมิน 

ดูวิธีการประเมินตามสภาพจริงที่ทำจากแฟ้มสะสมผลงาน ไตร่ตรองสารนิทัศ ไตร่ตรองตอนทำโครงการ


2.ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
ความต้องการ ความสนใจและการเล่นของเด็กปฐมวัย

เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์  
การสร้างรากฐานที่ดีทั้งทางร่างกาย และจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรก
เกิด ถึง6 ปีเป็นระยะที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก 
ด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่น ๆ

ความต้องการ 

 ความต้องการเป็นสิ่งจาเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ความต้องการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดความสมดุล    
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทาให้ร่างกายเกิดความเครียด ไม่เป็นสุข ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการกระทาเกิดขึ้น
พื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะสมดุลตามปกติ

ชนิดของความต้องการ
1.ความต้องการของแต่ละคน (Individual Needs )
   1.1 ความต้องการทางอินทรีย์
   1.2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ 

1.2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ

1.ความต้องการที่จะรักคนอื่นและให้คนอื่นรักตน
2.ความต้องการความปลอดภัย
3.ความต้องการการมีส่วนร่วม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

4. ความต้องการความสัมฤทธิ์ผลหรือต้องการให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน
5. ความต้องการรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสติปัญญา
6. ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากสภาพที่อยู่ปกติให้เป็นสภาพใหม่
7. ความต้องการที่จะรับความพึงพอใจในทางสวยงาม 
ความต้องการทางสังคม (Social Need) 

ได้แก่ ความต้องการความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ การนับหน้าถือตา ความนิยมชมชื่น
 ความเป็นมิตรภาพต่อกัน และความต้องการในสมบูรณาการ (Integration) ซึ่งเป็นความต้องการ  ที่เป็นค
วามสุขของชีวิตตามอุดมคติ



การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย


      การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจาก

ประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือจากการฝึกหัด 

รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน

   
มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น “รู้”  “ทำไม่ได้”

 เป็น “ทำได้” “ไม่เคยทำ” เป็น “ทำ” 2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร 3) การ

เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆนอกจาก

นั้น


        เด็กปฐมวัย (Early Childhood) เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กที่มีอายุตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึง 6 ปี ซึ่งอยู่ในวัยที่คุณภาพของชีวิทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญากำลังเริ่มต้นพัฒนาอย่างเต็มที่
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์
       เพียเจท์  กล่าวถึง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น  4  ขั้น
1.ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2.ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
3.ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม 
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้
              กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้  พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น  หากเด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง  แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน  เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาขอบรูเนอร์
เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน   หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน
1.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์


แนวการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1.  จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ
2.  จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
3.  จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ
4.  จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทำ และนำเสนอความคิด
5.  จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่
6.  จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก           
7.  จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันและสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม   
8. จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ให้มีมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือศูนย์การเรียนต่าง ๆ ให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับผู้อื่น

นวัตกรรมแบบโครงการ
การเรียนการสอนแบบ
โครงการได้นาแนวคิดของ
มาประยุกต์เป็นรูปแบบ
การเรียนการสอน

1.เรียนการสอนแบบโครงการเป็น
การเรียนเพื่อสนองความต้องการของเด็ก
                 
2.ไม่มีการแข่งขัน แต่เป็นการเรียนแบบร่วมมือ

3.เป็นนวัตกรรมทางการสอนที่บูรณาการ
การสอนหลายๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกัน

หลักการสาคัญของรูปแบบการสอนแบบโครงการ
1.เด็กศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกลงในรายละเอียดของเรื่องนั้นๆจนพบคาตอบที่ต้องการ
2.เรื่องที่เด็กศึกษาเป็นเรื่องที่เด็กเป็นผู้เลือกเองตามความสนใจเป็นประเด็นที่เด็กตั้งคาถามขึ้นมาเอง
3.ระยะเวลาแต่ละโครงการยาวนานอย่างเพียงพอตามความสนใจของเด็กเพื่อที่จะให้เด็กค้นพบคาตอบและคลี่คลายความสงสัยใคร่รู้
4.จัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่เด็กศึกษาโดยเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกตอย่างใกล้ชิดจากแหล่งความรู้เบื้องต้น
5.เด็กเสนอความรู้ต่อเพื่อนๆ และคนอื่นๆแสดงให้เห็นถึงความสาเร็จของกระบวนการศึกษาของตนเอง
และเกิดความภาคภูมิใจในความสาเร็จนั้น
6.เมื่อเด็กค้นพบคาตอบเปิดโอกาสให้เด็กนาความรู้ใหม่ๆที่ได้นั้นมาเสนอในรูปแบบต่างๆตามความต้องการของเด็กปฐม
7.จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบกับทั้งความสาเร็จ
และความล้มเลวในกระบวนการการแสวงหาความ
รู้ตามวิธีการของเด็กเองการของเด็กเอง

ระยะที่ 1เริ่มต้นโครงการ
เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร โดยครูเป็นผู้ให้คาแนะนา
• เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไร เกี่ยวกับเรื่องที่เลือกแล้วบ้าง ครูช่วยให้เด็กๆบันทึก
ความคิดของเด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น วาด ปั้น จาลอง ฯลฯ (เล่าประสบการณ์เดิม)
• เด็กๆบอกข้อสงสัยที่เด็กๆมีเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆจะเรียนรู้ และครูช่วยบันทึกคาถามเหล่านั้น
• เด็กๆพูดคุยเกี่ยวกับว่าคาตอบที่เด็กๆจะสารวจสืบค้นได้นั้น น่าจะเป็นอะไร อย่างไร ครูช่วย
เด็กๆบันทึกความคาดคะเนของเด็กๆไว้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลในภายหลัง (คิดกิจกรรม)

ระยะที่ 2ระยะพัฒนา
ให้โอกาสเด็กค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่เป็นงานในภาคสนาม
ประกอบด้วยการสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ระยะนี้ถือเป็นหัวใจของโครงการ
โดยครูจะเป็นผู้จัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้นไม่ว่าจะเป็นหนังสือ
วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ แม้แต่การออกภาคสนามหรือไปศึกษานอกสถานที่
หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่น เพื่อให้เด็กได้ทาการสืบค้น สังเกตอย่างใกล้ชิด
และบันทึกสิ่งที่พบเห็น เขียนภาพที่เกิดจากการสังเกต จัดทากราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม หรือสร้าง
แบบต่างๆ สารวจ คาดคะเน มีการอภิปรายเล่นบทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้

ระยะที่ 3สรุปโครงการ
เป็นการประเมิน การสะท้อนกลับ และแลกเปลี่ยนงานโครงการเป็นระยะสรุปเหตุการณ์
รวมถึงการเตรียมเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัดแสดงการค้นพบ
และจัดทาสิ่งต่างๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติ หรือจัดนาชมสิ่งที่ได้จากการก่อสร้าง
ครูควรจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กับผู้อื่น เด็กสามารถช่วยกันเล่าเรื่อง
การทาโครงการให้ผู้อื่นฟังโดยจัดแสดงสิ่งที่เป็นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น
ครู พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และผู้บริหารได้เห็น ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนามาแสดง
ซึ่งการทาเช่นนี้เท่ากับช่วยให้เด็กทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด
ครูอาจเสนอให้เด็กใช้จินตนาการ ความรู้ใหม่ที่ได้ผ่านทางศิลปะ หรือทางละครก็ได้


การนำไปใช้ คือ การนำแนวทางไปปรับใช้ในการเรียนการสอน และการวางแผนการสอนของเด็กให้ตรงตามพัฒนาการหรือความต้องการของเด็กให้ได้อย่างถูกวิธีและตรงตามพัฒนาการที่สามารถทำได้


ประเมิน

ประเมินตนเอง : รู้ว่าไม่เก่งแต่ก็พยายามทำความเข้าใจและจดบันทึกในสิ่งที่จำเป็น และตั้งจเรียน ตั้งใจฟังให้ทัน เพื่อที่จะได้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น

ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจฟังและจดบันทึก และเตรียมการนำเสนอมาดีพอสมควร

ประเมินอาจารย์ : อธิบายเนื้อหาเข้าใจให้มากขึ้น และยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่ 17 วัน จันทร์ที่  1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ชดเชยการสอน ความรู้ที่ได้รับ เรื่องหลักสูตรการศึกษาของเด็กปฐมวัย 2560 ...